กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งโซล่าเซลล์ (ล่าสุดปี 2568)
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้ทำการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งโซล่าเซลล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโซล่าเซลล์ชนิดติดตั้งบนหลังคา ทั้งเรื่องการยกเว้นการขึ้นทะเบียนเป็นโรงงาน (รง.4), การปรับปรุงขั้นตอนการขอยกเว้นกับ กกพ และ ล่าสุดก็มีข่าวดีเรื่องการติดตั้งโซล่าเซลล์บนหลังคาไม่ต้องขออนุญาตดัดแปลงอาคารอีก ทำให้ลดขั้นตอน และค่าใช้จ่ายของผู้ที่สนใจจะติดตั้งโซล่าเซลล์ไปได้มาก นับเป็นความสำเร็จของภาครัฐในการช่วยปลดล็อกระเบียบที่ล้าสมัย และเป็นอุปสรรคในการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ช่วยจูงใจให้ประชาชนและภาคเอกชนในการลงทุนติดตั้งโซล่าเซลล์ที่เป็นพลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น
ก่อนหน้านี้จะติดโซล่าเซลล์บนหลังคาต้องได้รับอนุญาตจากใครบ้าง

- กกพ – ใบอนุญาตผลิต/ระบบจำหน่าย/จำหน่าย แต่ถ้ากำลังการผลิตของอินเวอร์เตอร์ต่ำกว่า 1000 kVA ใช้การจดแจ้งยกเว้นแทน
- พพ – ใบอนุญาตผลิตพลังงานควบคุม กรณีกำลังการผลิตของอินเวอร์เตอร์ รวมมากกว่า 200 kVA
- เทศบาล/สำนักงานเขต/การนิคม – ต้องได้ใบอนุญาตดัดแปลงอาคาร หรือใบ อ.1 ก่อนเริ่มทำการติดตั้งและ อ.5 หลังทำการติดตั้งแล้วเสร็จ (ใบ กนอ02/2 กรณีโครงการตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม)
- กรมโรงงาน – ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4 ลำดับที่ 88) ยกเว้นกรณีโซล่าเซลล์ติดตั้งบนหลังคา กำลังการผลิตของแผงน้อยกว่า 1000 kWp ไม่ต้องขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน
- การไฟฟ้านครหลวง/การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค – ใบอนุญาตขนานไฟฟ้า
สิ่งที่เปลี่ยนไป ณ ปี 2568 มีอะไรบ้าง
- ในเรื่องของใบจดแจ้งยกเว้น กับ กกพ ยังมีเหมือนเดิม แต่ขั้นตอนการขอเปลี่ยนไป คือ เดิมผู้ประกอบการต้องเอาใบอนุมัติเชื่อมต่อที่ได้รับจากการไฟฟ้าไปยื่นเรื่องขอจาก กกพ โดยตรง แก้ไขขั้นตอนเป็น หลังจากการไฟฟ้าอนุมัติเชื่อมต่อแล้วการไฟฟ้าเป็นคนส่งเรื่องให้ กกพ แทน (ซึ่งก็ช่วยลดขั้นตอนของผู้ประกอบการลง ให้หน่วยงานภาครัฐคุยกันเอง) แต่อันนี้เฉพาะโครงการที่เชื่อมต่อกับการไฟฟ้าเท่านั้น ถ้าเชื่อมต่อกับระบบของเอกชนอื่นๆ เซ่นโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม ที่ซื้อไฟจากโครงข่ายเอกชน อันนี้ผู้ประกอบการก็ต้องยื่นขอยกเว้นกับ กกพ โดยตรงเหมือนเดิม
ขั้นตอนการจดแจ้งยกเว้นไม่ต้องขอรับใบอนุญาตการประกอบกิจการไฟฟ้า(Euronews) - ในส่วนของใบอนุญาตดัดแปลงอาคาร ล่าสุดในตอนที่เขียนบทความนี้ (13 พ.ค. 68) ครม อนุมัติในหลักการเรื่องการติดตั้งโซล่าเซลล์บนหลังคาไม่ถือว่าเป็นการดัดแปลงอาคาร จากเดิมที่เคยยกเว้นแค่พื้นที่ไม่เกิน 160 ตร.ม. น้ำหนักไม่เกิน 20 กิโลกรัมต่อตารางเมตร บนหลังคาที่อยู่อาศัย (คือประมาณแผงโซล่าเซลล์ประมาณ 35 kWp) แต่หากกฎกระทรวงใหม่นี้ออกมา คาดว่าจะช่วยปลดล็อกให้การติดตั้งโซล่าเซลล์บนหลังคา น้ำหนักไม่เกิน 20 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคาร (ไม่ต้องขอ อ.1) ช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการขออนุญาตสำหรับผู้ประกอบการได้
- สำหรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4 ลำดับที่ 88) ที่เดิมยกเว้นกรณีโซล่าเซลล์ติดตั้งบนหลังคา กำลังการผลิตของแผงน้อยกว่า 1000 kWp ไม่ต้องขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ในกฎกระทรวง กำหนดประเภท ชนิด และขนาดของโรงงาน ที่ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 27 ธันวาคม 2567 ได้ทำการตัดข้อความระบุกำลังการผลิตติดตั้งออก ทำให้โซล่าเซลล์ที่ติดตั้งบนหลังคาทุกขนาดได้รับการยกเว้นไม่เป็นโรงงานผลิตไฟฟ้า (ไม่ต้องขอ รง.4) 
กฎกระทรวงเดิม(Euronews) กฎกระทรวงใหม่(Euronews) อนาคตการขออนุญาตผลิตไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์จะเป็นอย่างไรต่อไป
จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นก็อยากชื่นชมภาครัฐที่ช่วยปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ช่วยลดอุปสรรค ขั้นตอนการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายของประชาชนและผู้ประกอบการที่สนใจติดตั้งโซล่าเซลล์ได้มาก ในส่วนอนาคตของการขออนุญาตเกี่ยวกับโซล่าเซลล์นั้น ผู้เขียนมองเป็น 2 ส่วน คือ การใช้โซล่าเซลล์ในบ้านเรือน (ขนาดเล็ก) ที่ผู้ผลิตต่างๆพากันพัฒนาอุปกรณ์ให้ติดตั้งและใช้งานได้ง่ายขึ้น ตอนนี้เราจะเริ่มเห็นเจ้าของบ้านซื้ออุปกรณ์โซล่าเซลล์จากช่องทางออนไลน์และหาช่างมาติดตั้งเองกันบ้างแล้ว อนาคตอุปกรณ์โซล่าเซลล์จะติดง่ายขึ้นจนเจ้าของบ้านสามารถซื้อและติดตั้งด้วยตัวเองได้เหมือนเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดหนึ่งในบ้าน การขออนุญาตของโซล่าเซลล์ขนาดเล็กๆ (และมีจำนวนมาก) เหล่านี้อาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่ควรมีกลไกการควบคุมอุปกรณ์โซล่าเซลล์ที่จำหน่ายให้มีมาตรฐานเท่านั้น เช่น การขึ้นทะเบียนกับการไฟฟ้า หรือ การใช้มาตรฐาน มอก เป็นต้น
สำหรับโครงการในระดับที่ใหญ่ขึ้น ผู้เขียนมองว่าการมีคนคอยตรวจสอบและระบบใบอนุญาตยังเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้การผลิตไฟฟ้าเป็นไปตามมาตรฐาน แต่ควรลดงานตรวจสอบที่ซ้ำซ้อน เช่น มีเจ้าหน้าที่การไฟฟ้ามาตรวจแล้ว ก็ต้องมีเจ้าหน้าที่ พพ (หรือวิศวกรที่ขึ้นทะเบียนกับ พพ) มาตรวจอีก และก็มีเจ้าหน้าที กกพ มาตรวจอีกก่อนออกใบอนุญาต ซึ่งมองว่าเป็นการใช้งานเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ซ้ำซ้อนไม่มีประสิทธิภาพ หลายโครงการต้องรอคิวนานกว่าจะได้รับการตรวจ อนาคตอยากให้การตรวจสอบเป็นการตรวจสอบจากหน่วยงานเดียว แต่มีรายละเอียดครบถ้วนครอบคลุมในทุกด้านและสามารถนำผลการตรวจสอบที่ได้ไปออกใบอนุญาตได้กับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จะดีมากกว่า